วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Love me, treat my dog well, OKAY ? รักฉัน ก็(จง)ปฏิบัติกับสิ่งที่ฉันรักดีๆนะ


ตั้งชื่อเรื่องอย่างนี้หวังว่าจะไม่ทำให้คุณผู้อ่านผิดหวังที่เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับหมาเลยสักนิด แต่มันเกี่ยวกับอาหารไทย อาหารประจำชาติของอิชั้น  ควินตินเคยอยู่ประเทศไทยมาประมาณ 1 ปี จัดว่าเป็นคนที่ชื่นชอบอาหารไทย แต่อาหารที่ชื่นชอบตลอดกาลของคิว(ควินติน) คืออาหารเม็กซิกัน และซีเรียล (Cereal) ดังนั้นเมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน  อิชั้นจึงได้กินอาหารเม็กซิกันเป็นประจำ รวมถึงได้ฝึกหัดวิทยายุทธ์ในการทำอาหารเหล่านี้ไว้พอสมควร แต่กระนั้นอิชั้นก็ยังคงคิดถึงอาหารไทยสุดที่รักอย่างแน่นอน  ก็ทำบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง สามีสุดที่รักก็กินอย่างเอร็ดอร่อย สิ่งที่ทำให้ฉันต้องเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นก็มีสาเหตุมาจากกลิ่นอาหารไทยนั่นเอง


ด้วยส่วนผสมของเครื่องแกงไทยบวกกับการที่ฉันอยู่อพาทเมนต์  ประตู หน้าต่างจึงมีไม่มากนัก กลิ่นแกงจึงติดห้องประมาณสามวันจึงจะเริ่มจางลง พ่อตัวดีจึงได้โอกาสแซวตลอด  เวลากลับมาห้องว่า “โห!!เอเชี่ยนฟู้ด” “เอเชี่ยน มาร์เก็ต”  พร้อมทั้งสะบัดมือไปมา ถ้าพูดแค่ครั้งเดียวก็คงไม่เท่าไหร่ แต่มันหลายครั้งนี่ซิ  เราก็เข้าใจนะว่า กลิ่นมันแรงจริงๆ  แต่เวลาเราฟังว่า เค้าไม่ชอบกลิ่นอาหารของเรา   เราแปลในสมองไปว่า เค้าไม่ยอมรับในความเป็นเราด้วย 


ว่าแล้วศรัณยา ก็เลยบอกสามีว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่ทำอาหารไทยอีกต่อไป”   ส่วนสามีนั้น เค้าแค่แซวเฉยๆตามความจริงที่ปรากฏ  แต่เค้าก็ยังรักเราเหมือนเดิม  เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำให้เค้าอย่างเช่นที่เคยเป็นมา   ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าผู้หญิงกำลังประชดไง เค้าก็เลยไม่ทักท้วงอะไร เข้าใจไปว่า เราไม่อยากทำอาหารไทยแล้วจริงๆ   เราก็ประมาณ ทิฐิ ก็เลยกินแต่อาหารฝรั่งอย่างเดียวประมาณหนึ่งเดือนเต็มๆ 


วันหนึ่งก็มานึกได้ถึงสิ่งที่พี่ๆที่แต่งงานแบบข้ามวัฒนธรรมเหมือนกันเคยสอนไว้  พี่เค้าสอนไว้ว่า เวลาสามีไม่ชอบอาหารของเรา บางครั้งเค้าอาจพูดตรงๆออกมาเลย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเค้าไม่รักเรานะ แต่ด้วยความเป็นคนไทยของเรา เรามักจะเหมารวมไปว่า เค้าไม่ชื่นชมในความสามารถของเราด้วย บางคนอาจคิดเลยเถิดไปว่า เค้าไม่รักเรา เมื่อย้อนคิดได้ว่า สามีก็ยังรักเราดี แถมการที่เค้ามีเมียไทย เค้าน่าจะมีโอกาสดีกว่าคนอื่นที่จะได้กินอาหารไทยอร่อยๆ  


 ว่าแล้วก็กลืนน้ำลายตัวเอง เริ่มทำอาหารไทยบ้างไรบ้างตามที่เคยเป็นมา แล้วก็หาโอกาสเหมาะๆพูดกับสามีด้วยความรักและความจริงใจ (และให้เกียรติ)ว่า สิ่งที่เธอพูดมานั้น มันทำร้ายจิตใจฉัน อยากบอกว่า ตอนพูดออกไปเนี่ย เป็นแบบพูดไปร้องไห้ไปเลยทีเดียว เล่นเอาสามีตกอกตกใจ นึกไม่ถึงว่า มันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ในที่สุดทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ทุกวันนี้สามีไม่(กล้า)แซวอาหารไทยที่รักของเราอีกแล้ว ปรับตัวเข้าหาความแต่งต่างของกันและกัน  บางวันต่างคนต่างทำอาหารโปรดของตัวเองแล้วมาแบ่งกันกิน  เรื่องที่เล่ามานี้ หลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาบ้าง  เรื่องเล็กที่บางครั้งก็เป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องอยู๋ห่างใกล้บ้านเกิดเมืองนอนเช่นนี้

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ความสำเร็จเล็กๆที่หลายคนมองข้าม



ทุกเช้าก่อนที่จะออกจากบ้าน สิ่งที่ฉันต้องทำทุกวันคือ เปิดกูกิ้ลแม๊พ (google map) จัดระเบียบการเดินทางกันหน่อยว่าวันนี้จะไปที่ไหน ต้องต่อรถยังไง เมื่อไหร่ จากที่เคยอยู่เชียงใหม่ จะไปไหนก็ขับรถไปเอง แป๊ปปปเดียวก็ถึงที่หมาย มาวันนี้ต้องพึ่งสองขากับรถบัสหล่ะค่ะ แหม! ถ้าหากไม่กล่าวถึงสามี เดี๋ยวคุณผู้อ่านจะเข้าใจว่าสามีไม่ดูแล  ควินตินน่ารักค่ะ ถ้าจะไปที่ไหนที่เค้าสามารถไปรับไปส่งได้ พ่อคุณไม่เคยเกี่ยง แต่ไอ้เรามันไม่ไหว เคยยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ไม่เคยต้องง้อให้ใครพาไปไหน จะรอแต่ให้สามีว่างแล้วพาไป ศรัณยาคงไมเกรนขึ้นแน่นอน วิหคน้อยจากเมืองไทยไม่รอช้า ศึกษาเส้นทาง แล้วก็ออกลุยค่ะ



ครั้งแรกที่ขึ้นรถบัสเนี่ย ออกแนวตื่นเต้นยังกะไปฟังผลสอบเอนทรานซ์ บอกตัวเองว่า กะอีแค่ขึ้นรถบัสเนี่ย ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดน้านนนน  ใจแทบจะหลุดออกจากอก ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าจะลงตรงป้ายไหน เคยจำแต่ พอถึงโลตัสแล้วกดออด  มาที่นี่ต้องเรียนว่าลำดับของถนนเป็นยังไง จะขึ้นลงก็ต้องตรงป้าย ไม่ใช่ที่ไหนก็ได้เหมือนที่บ้านเรา วันนี้พอกลับไปดูสมุดบันทึกที่ผ่านมาแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ค่ะ เพราะจดมันไว้อย่างละเอียดว่าสถานที่ที่จะไปต้องผ่านอะไรบ้าง ผ่านถนนกี่เส้น ชื่ออะไร  เคยกดออดพลาดนะคะ ต้องเดินต่อเกือบครึ่งชั่วโมง  มาถึงวันนี้ ชิวๆค่ะ ความกลัว ความประหม่าต่างๆหายไปหมดแล้ว บอกมาเลยค่ะจะให้ไปไหน ศรัณยาพร้อมลุย


ทุกวันนี้เมื่อฉันขึ้นรถแล้วสังเกตเห็นคนที่เอาแต่ดูแผนที่ หรือมีท่าทางประหม่า ฉันมักจะถามพวกเค้าว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย (ถ้ามีโอกาสถาม และคนนั้นดูไม่น่ากลัวจนเกินไป) ก็เรามันเคยอยู่ตรงจุดนั้น ก็เลยรู้ว่ามันรู้สึกยังไง หลายคนอาจมองว่า มันก็แค่ขึ้นรถบัส ไม่เห็นจะสำคัญอะไร แต่สำหรับฉันแล้ว มันเป็นความสำเร็จเล็กๆที่ทำให้ฉันภูมิใจเสมอ ฉันได้เอาชนะสิ่งที่ทำให้ฉันกลัว แม้มันเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป 

คุณเองก็คงได้ก้าวข้ามความกลัว ความประหม่า มาบ้างเหมือนกัน อย่าลืมภูมิใจกับความสำเร็จเหล่านั้นนะคะ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม